ในปัจจุบันโลกของอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลให้เราได้ค้นหาอย่างมากมาย ซึ่งจะมีเว็บไซต์ที่บรรจุข้อมูลเพื่อให้เราเข้าไปค้นหา แต่เราต้องการพิมพ์ชื่อว็บไซต์เหล่านั้นเพื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลก็ทำให้เราต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้น ทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการใช้งาน จึงได้มีผู้สร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมเว็บไซต์ต่างๆ ไว้ โดยจัดไว้เป็นหมวดหมู่ของข้อมูลเหมือนกับห้องสมุดที่มีหนังสือมากมายก็จำเป็นที่ต้องตั้งหมวดหมู่หนังสือเพื่อจะได้จัดหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ผู้ที่เข้ามาใช้งานก็สามารถหาหนังสือตามหมวดหมู่ที่ต้องการได้ทันที ซึ่งภายในหมวดหมู่นั้นก็จะมีหนังสือหลายๆ เล่มให้เราเลือกเช่นเดียวกับการจัดหมวดหมู่ของว็บไซต์ที่ได้รวบรวมไว้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น โดยเลือกค้นหาตามหมวดหมู่ หรือ หัวข้อเรื่องที่ตนเองสนใจได้โดยไม่ต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์นั้น เพียงแต่เรากรอกคำหรือหัวเรื่องที่เราต้องการค้นหา เว็บไซต์ต่างๆ ที่มีเนื้อหาในเรื่องเดียวกันก็จะแสดงออกมาวิธีนี้เป็นลักษณะของการใช้เครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า “เครื่องจักรค้นหา” (Search Engine)
เครื่องจักรค้นหา (Search Engine) คือ เครื่องมือ หรือเว็บไซต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในการค้นหาข้อมูลและข่าวสารในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (เสาวคนธ์ คงสุข, 2544: 198)
ประเภทของการค้นหาข้อมูล
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท คือ
Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
Search Engine เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมช่วยในการค้นหาที่เรียกว่า “Robot” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลซึ่งการค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้องการ เพราะได้ระบุคำที่เจาะจงลงไป เพื่อให้ Robot เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูล ซึ่งเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมากเช่น www.google.co.th
Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่
การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่โดยมีเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้โดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลจะจัดตามข้อมูลที่คล้ายกัน หรือเป็นประเภทเดียวกัน นำมารวบรวมไว้ในกลุ่มเดียวกัน
ลักษณะการค้นหาข้อมูลแบบ Search Directories จะทำให้ผู้ใช้สะดวกในการเลือกข้อมูลที่ต้องการค้นหา และทำให้ได้ข้อมูลตรงกับความต้องการ
การค้นหาวิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถเลือกจากชื่อไดเร็กทอรีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหาและสามารถเลือกที่จะเข้าไปดูว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างได้ทันที เช่นwww.sanook.com
เป็นลักษณะของการค้นหาข้อมูลจากหลายๆ Search Engine ในเวลาเดียวกัน เพราะเว็บไซต์ที่เป็น Metasearch จะไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะค้นหาเว็บเพจที่ต้องการโดยวิธีการดึงจากฐานข้อมูลของ Search Site จากหลายๆ แห่งมาใช้ แล้วจะแสดงผลให้เลือกตามต้องการ เช่น www.thaifind.com
การค้นหาโดยใช้ Search Engine
การใช้วิธีการค้นหาข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งรูปแบบในการค้นหาออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด”
2. การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเรกทอรี (Directories)
การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา
วิธีการค้นหาข้อมูลในลักษณะนี้ก็คือ การระบุคำที่ต้องการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด” (Keyword) โดยในเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจะมีช่องเพื่อให้กรอกคำที่ต้องการค้นหาลงไป แล้วจะนำคำดังกล่าวไปค้นหาจากข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบระบุคำที่ต้องการค้นหา หรือคีย์เวิร์ด
โดยจะเลือกเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลที่เรามักจะเรียกว่า “เว็บไซต์สำหรับ Search Engine” ซึ่งมีเว็บไซต์ต่างๆ หลายเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านนี้ เช่นwww.google.co.th การใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูล เราจะต้องพยายามระบุคำให้ชัดเจนเพื่อจะสามารถให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่นwww.google.co.th
2. กรอกคำที่ต้องการค้นหาในช่องที่เว็บไซต์ได้กำหนดไว้
3. เว็บไซต์จะค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีคำที่เหมือนกับคำที่เราได้กรอกไว้ในช่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล
4. คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการ เข้าไปค้นหารายละเอียดของข้อมูลต่อไป ดังตัวอย่าง เมื่อคลิกเลือกการศึกษา Education แล้วจะแสงเว็บไซต์ของหัวข้อเรื่องดังกล่าวออกมา
การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเร็กทอรี (Directories)
การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้เปรียบเสมือนเราเปิดเข้าไปในห้องสมุด ซึ่งได้จัดหมวดหมู่ของหนังสือไว้แล้ว และเราก็ได้เดินไปยังหมวดหมู่ของหนังสือที่ต้องการ ซึ่งภายในหมวดใหญ่นั้นๆ ยังประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อยๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแบ่งประเภทของข้อมูลให้ชัดเจน เราก็สามารถเข้าไปหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการได้ แล้วก็เปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในของหนังสือเล่มนั้นๆ วิธีนี้จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีเว็บไซต์มากมายที่ให้บริการการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้ เช่น
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบไดเร็กทอรี สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่นwww.sanook.com
2. เลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล เช่น การศึกษา จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อย ดังนี้
โรงเรียน, สถาบันอุดมศึกษา, สถาบันกวดวิชาและสอนพิเศษ, และนะแนวการศึกษา
3. เมื่อคลิกที่หัวข้อเรื่องย่อยที่ต้องการ เช่น สถาบันอุดมศึกษา
4. จะปรากฏหัวข้อเรื่องย่อยของสถาบันอุดมศึกษา ดังนี้
หมวดย่อย
- สถาบัน (5/5)
- มหาวิทยาลัยของรัฐ (5/5)
- มหาวิทยาลัยเอกชน (3/2)
- มหาวิทยาลัยราชภัฏ (6/3)
ทำให้สามารถเลือกข้อมูลได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุดโดยทำให้ไม่เสียเวลาในการเลือกข้อมูล เพราะได้จัดข้อมูลแบ่งเป็นกลุ่มข้อมูลย่อยๆ
5. นอกจากแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยของข้อมูลแล้วยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกค้นหาข้อมูลอีกมากมาย
เทคนิคในการค้นคว้าข้อมูล
1. การใช้ภาษา การค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถค้นหาได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งรูปแบบของภาษาไทยนั้นจะเป็นการเขียนประโยคที่ต่อเนื่อง เช่น ขนมไทย ศิลปะ วัฒนธรรมไทย สมุนไพรไทย เป็นต้น แต่การค้นหาด้วยภาษาอังกฤษ จะแตกต่างจากภาษาไทย คือภาษาอังกฤษจะเป็นการแบ่งวรรคของคำ เช่น Thai foodซึ่งถ้าพิมพ์คำนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ จะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือFood หรือThai food ออกมาให้ทั้งหมดทำให้ได้รับข้อมูลมากมายเกินความต้องการ แต่ถ้าต้องการให้คำว่า Thai food เป็นข้อความเดียวกัน ต้องพิมพ์คำดังกล่าวไว้ในเครื่องหมายคำพูด (“ ”) เช่น “Thai food” ซึ่งแปลว่าอาหารไทย เมื่อให้เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลให้ก็จะแสดงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า “Thai food” เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่ต้องการแคบลง ช่วยให้เราสามารถหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้เร็วขึ้น
2. ควรบีบประเด็นให้แคบลง หรือใช้คำให้ชัดเจน ตรงประเด็นที่ต้องการผลลัพธ์ให้มากที่สุด เพราะข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย ถ้าเราสามารถระบุคำที่ชัดเจนและตรงประเด็นแล้ว จะเป็นการกรองข้อมูลให้กับเราได้ ทำให้เราได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการชัดเจน และสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลของอาหารไทยเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ควรที่จะกำหนดข้อความในการค้นหา คือ “Thai food in Thailand” จะเป็นการกรองข้อมูลให้เราได้ประเด็นที่แคบลง
3. การใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันคำในภาษาอังกฤษมีหลายๆคำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น world และ earth แปลว่า “โลก” ถ้าต้องการหาคำว่า worldแล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถหาข้อมูลของคำนี้ได้ เราควรลองเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
4. การใช้โอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน เมื่อต้องการเจาะจงในการค้นหาข้อมูล ก็สามารถที่จะนำโอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน มาเป็นเครื่องมือช่วยในการหาข้อมูลได้ เพื่อให้สามารถหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงกับความต้องการมากที่สุด โอเปอเรเตอร์ที่ใช้ คือ AND, OR, AND NOT และเครื่องหมาย +,-
AND “และ” เช่น computer and design ผลลัพธ์ที่ได้จะได้ข้อมูลที่ต้องมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” อยู่ด้วยกันเท่านั้น จึงจะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง
OR “หรือ” การใช้คำว่า OR ถ้ามีคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียวก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดงให้ เช่น computer or design คือ จะมีแต่คำว่า “computer” หรือมีแต่คำว่า“design” หรือมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” ก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง การใช้คำว่า OR ช่วยในการหาข้อมูลนั้นทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีขอบเขตกว้างมาก
AND NOT หรือNOT เช่น computer and not design หมายความว่า “ให้ค้นหา ข้อมูลที่มีคำว่า computer แต่ต้องไม่มีคำว่า design มาด้วย” ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ได้เมื่อใช้ข้อความนี้ในการค้นหาข้อมูลก็จะแสดงข้อมูลเฉพาะที่มีแต่คำว่าคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถ้าข้อมูลใดมีคำว่า “design” อยู่ด้วยจะไม่ดึงเอาข้อมูลนั้นมาแสดง
เครื่องหมาย + หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องมีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้น เหมือนกับคำว่า AND
เครื่องหมาย – หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องไม่มีคำนั้นอยู่ใน เว็บเพจนั้น เหมือนกับคำว่า NOT
เช่น + computer – design ข้อมูลที่จะแสดงออกมาจะต้องมีคำว่า computerแต่ไม่มีคำว่า design
รวมเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น